พุยพุย

วันอังคารที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2559

สรุปบทความ


กิจกรรมที่ส่งเสริมทักษะทางวิทยาศาสตร์ในเด็กปฐมวัย

" การทำอาหาร "


          วิทยาศาสตร์  มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในชีวิตประจำวันของคนเรา จะเห็นว่า แม้แต่เด็กปฐมวัยก็ยังได้รับประสบการณ์ในชีวิตประจำวันที่มีความเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ทั้งสิ้น ประกอบกับเด็กปฐมวัยมีความอยากรู้อยากเห็นและมักจะตั้งคำถามกับสิ่งรอบตัวอยู่ตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้ เด็กปฐมวัยควรจะได้รับการส่งเสริมและพัฒนาทักษะที่จำเป็นในการค้นคว้าหาความรู้ เพื่อที่จะได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมรอบตัวที่เกิดขึ้นในธรรมชาติ และ สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น และ จะได้มีโอกาสพัฒนา และ ประยุกต์ความรู้เหล่านั้นไปใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อไปในอนาคต

          สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาขาวิทยาศาสตร์ประถมศึกษา (2551) นำเสนอ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่ครูและผู้ปกครองควรจะส่งเสริมให้แก่เด็กปฐมวัย ประกอบด้วย

1. ทักษะการสังเกต
2. ทักษะการจำแนกประเภท
3. ทักษะการทำนาย
4. ทักษะการวัด
5. ทักษะการคำนวณ
6. ทักษะการจัดกระทำและสื่อความหมายข้อมูล
7. ทักษะการหาความสัมพันธ์ระหว่างมิติของวัตถุ
8. ทักษะการลงความคิดเห็นจากข้อมูล

          การประกอบอาหาร เป็นกิจกรรมหนึ่งที่ส่งเสริมทักษะวิทยาศาสตร์ให้แก่เด็กปฐมวัย  โดยทั่วไปแล้ว เด็กเล็ก ๆ ในวัยนี้มักจะไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ปกครองให้ช่วยทำอาหาร อาจจะเป็นเพราะเกรงในเรื่องความปลอดภัย หากใช้มีดที่มีความคม หรือ หากต้องประกอบอาหารโดยใช้ความร้อน แต่หากมองอีกแง่มุมหนึ่ง การประกอบอาหารเป็นกิจกรรม และ จัดว่าเป็นสื่อการสอนอย่างดีที่จะช่วยพัฒนาทักษะ ความรู้ และ ความเข้าใจในแนวคิดทั้งทางวิทยาศาสตร์ และ คณิตศาสตร์ หากครูและผู้ปกครองให้ความช่วยเหลือเด็ก อยู่ใกล้ ๆ และคอยระมัดระวังอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นกับเด็กในขณะทำอาหาร เด็กก็จะได้รับประโยชน์จากกิจกรรมประกอบอาหารอย่างมาก ดังได้กล่าวแล้วว่า 
>>>>>  การประกอบอาหารเป็นกิจกรรมหนึ่งที่ส่งเสริมทักษะวิทยาศาสตร์ให้แก่เด็กปฐมวัย เพราะเป็นกิจกรรมที่เด็กได้รับประสบการณ์ตรงตั้งแต่
  • ขั้นเตรียมอุปกรณ์ และส่วนผสม  ส่วนประกอบที่นำมาใช้ในการประกอบอาหารก็ล้วนแต่เป็นของจริง ทำให้เด็กเกิดความสนใจ และ ช่วยทำให้เด็กจดจำง่าย  ในขณะทำอาหาร เด็กต้องใช้การสังเกตปริมาณส่วนผสม ส่วนประกอบของอาหารที่จะทำ 
  • รวมถึงการสังเกตการเปลี่ยนแปลงของสิ่งที่นำมาทำเป็นอาหาร การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ การเปรียบเทียบรสชาติ ในขณะทำอาหาร เด็กได้พัฒนาแนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับ ขนาด รูปร่าง ตัวเลข จำนวน สี การชั่ง ตวง การดมกลิ่น การรู้รส ซึ่งจะทำให้เด็กรับรู้ความเหมือน ความต่าง และ ความหมายของสิ่งที่เด็กได้รับรู้นั้น 
  • นอกจากนี้ เด็กก็ยังได้เรียนรู้ทักษะการจำแนก เช่น จำแนกส่วนประกอบอาหารที่นำมา เช่น ส้มเขียวหวาน ส้มโอ มะนาว ว่ามีรูปทรงกลมเหมือนกัน ขนาดต่างกัน รสชาติเปรี้ยวเหมือนกัน หรือ เด็ก ๆ อาจจะแบ่งประเภทของอาหารตามเกณฑ์อื่นๆ เช่น สี จำนวน รูปร่าง และ ประเภท ในการจัดกิจกรรมประกอบอาหารนี้ครูอาจจะสร้างสถานการณ์เพื่อกระตุ้นให้เด็กมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ได้ด้วย เช่น ให้เด็ก ๆ ช่วยกันคิดว่า ถ้าเราจะลองทำไข่ยัดไส้ เด็ก ๆ อยากจะใส่ส่วนผสมอะไรได้บ้าง เป็นต้น  

          โดยธรรมชาติของเด็กปฐมวัย จะมีความคิด การใช้ภาษาอย่างจำกัด ทำให้เด็กอาจจะไม่สามารถถ่ายทอดความคิด ความเข้าใจ และ ความต้องการให้ผู้อื่นเข้าใจได้ง่ายนัก การใช้คำถาม จึงเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยทำให้ ครู และ ผู้ปกครอง มีความเข้าใจเด็กมากยิ่งขึ้น คำถามที่ท้าทาย และ กระตุ้นให้เด็กอยากเรียนรู้ จะส่งเสริมให้เด็กคิดหาคำตอบ ด้วยวิธีการทดลอง ลงมือทำ หรือ หาคำตอบจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ คำถามที่ครูใช้ควรเป็นคำถามปลายเปิดเพื่อให้เด็กได้คิด ตอบ แสดงความคิดเห็น ซึ่งจะเป็นขั้นตอนการสื่อสารที่เด็กได้พัฒนาทางด้านภาษาอีกด้วย เด็กจะได้เรียนรู้จากการมีปฎิสัมพันธ์ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเพื่อนในชั้นเรียน

ตัวอย่าง การสอนทำขนมบัวลอยเพื่อพัฒนาทักษะวิทยาศาสตร์ในระดับเด็กปฐมวัย

          กิจกรรมทำขนมบัวลอย จะส่งเสริมให้เด็กได้เรียนรู้การลอย การจม การเปลี่ยนแปลงของแป้งข้าวเหนียวที่จะนำมาทำบัวลอย โดยครูให้เด็กสังเกตลักษณะของแป้งข้าวเหนียว โดยการใช้ประสาทสัมผัส และบอกได้ว่ามีแป้งก่อนที่จะผสมน้ำมีลักษณะเป็นผง มีสีขาว เมื่อนำมาผสมน้ำ จะสามารถปั้นเป็นก้อนกลม ๆได้ และ เมื่อนำมาผสมสีธรรมชาติ สีขาวของแป้งข้าวเหนียวก็จะเปลี่ยนไปตามสีที่นำมาผสม  ในขณะที่เด็ก ๆ ปั้นแป้งนั้น อาจจะให้เด็กปั้นเป็นรูปต่าง ๆ ได้ตามชอบใจ ใส่สีธรรมชาติซึ่งอาจจะผสมสีส้มของแครอท สีเขียวของใบเตย เมื่อปั้นเสร็จแล้ว อาจจะให้เด็กจำแนกแป้งที่ปั้นจัดเป็นกลุ่ม ๆ โดยให้เด็กคิดเกณฑ์การจำแนกเอง เด็กบางคนอาจจะจำแนกแป้งที่ปั้นแล้วตามรูปทรงที่ตนปั้น เด็กบางคนอาจจะจำแนกแป้งที่ปั้นตามสีที่ตนผสม ซึ่งครูอาจจะใช้คำถามถามเด็กว่า ทำไมจึงจัดกลุ่มพวกนี้อยู่กลุ่มเดียวกัน



          ในขณะทำบัวลอย ครูอาจจะต้องเป็นผู้ช่วยตั้งน้ำให้เดือด และ คอยช่วยเหลือใกล้ ๆ ให้เด็กค่อย ๆ นำแป้งที่ปั้นแล้วใส่ลงในหม้อน้ำเดือด โดยก่อนที่เด็ก ๆ จะใส่แป้งลงในหม้อ ครูอาจจะใช้คำถามกระตุ้นความสนใจให้เด็กทำนาย และ ลงมือทำการทดลอง เช่น เด็ก ๆ คิดว่า แป้งที่เด็ก ๆ ปั้นให้มีขนาดต่างกัน มีทั้งขนาดใหญ่ และ ขนาดเล็ก เมื่อนำไปใส่ในน้ำเดือด เด็ก ๆ คิดว่า แป้งที่มีขนาดต่างกันนั้นจะลอย หรือ จมน้ำ และ ถ้าลอยขึ้นมา เด็ก ๆ คิดว่า จะลอยขึ้นมาพร้อมกันหรือไม่ เพราะเหตุใด” 
          ในขั้นตอนของการทำน้ำกะทิ ครูอาจจะให้เด็กชิมน้ำกะทิ แล้วถามเด็กว่า เด็ก ๆ คิดว่า น้ำกะทิที่เด็ก ๆ ได้ชิมไป มีรสชาติอย่างไร น่าจะมีส่วนผสมใดประกอบอยู่บ้างแล้วครูก็ให้เด็กนำน้ำตาล เกลือ น้ำกะทิยกขึ้นตั้งไฟ แล้วถามคำถามเด็กอีกว่า น้ำตาลที่เด็ก ๆ เห็นก่อนใส่ในน้ำกะทิ เมื่อใส่ลงไปในหม้อต้มน้ำกะทิเดือดแล้ว เด็ก ๆ คิดว่าน้ำตาลหายไปไหน
          เมื่อร่วมกันทำขนมบัวลอยแล้ว ครูก็แจกขนมบัวลอยที่เด็ก ๆ ได้เป็นคนทำ เด็กก็จะมีความรู้สึกภูมิใจที่เป็นคนทำขนมบัวลอยด้วยตัวเอง และเมื่อชิมก็จะได้พัฒนาประสาทสัมผัสทางลิ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การตั้งคำถามทางวิทยาศาสตร์ได้อีกมากมาย ครูอาจจะสอนสอดแทรกในเรื่องของการทำความสะอาดถ้วยขนม และ โต๊ะอาหารหลังจากรับประทานขนมเสร็จแล้วได้ด้วย





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น